วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้

 
6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้
 
 
 

ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก

1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
  • สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
  • สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
  • เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
  • ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
  • ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
  • ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
  • เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ
 
 
 

ลิปบาล์มบำรุงฝีปากรับลมหนาว


ลิปบาล์มบำรุงฝีปากรับลมหนาว


เครื่องสำอางบนริมฝีปาก


ย่างเข้าหน้าหนาวปีนี้หลายพื้นที่ยังประสบอุทกภัย บางพื้นที่ต้องเผชิญกับความหนาวเย็นบวกเข้าไปอีกนอกจากโรคภัยที่มากับน้ำก็ ต้องเตรียมรับมือกับภัยหนาว ซึ่งพยากรณ์อากาศคาดว่าจะหนาวมาก อย่างน้อยๆ เวลานี้ จังหวัดตามแถบเทือกเขาทางภาคเหนือภาคอีสาน ก็หนาวเย็นมากๆ
ในหน้าหนาวโรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญคือโรคในระบบทางเดินหายใจ ที่ต้องระมัดระวังควบคู่กันคือโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ประชาชนก็ยังต้องตระหนักและใส่ใจดูแลสุขภาพให้ดีด้วย และที่หนีไม่พ้นคือการบำรุงผิวพรรณทั้งแขน ขา ผิวหน้าต้องทาครีมบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื่น โดยเฉพาะเด็ก แก้มใสๆ แตกเป็นริ้วรอยทั้งเจ็บและแสบ อีกส่วนที่จะลืมไม่ได้คือริมฝีปากที่ต้องทาลิปบาล์ม หรือลิปมัน บำรุงเพิ่มความชุ่มชื่นเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็แตกระแหงจนเลือดซิบได้เช่นกัน
วันนี้จึงชวนท่านผู้อ่านมาทำบาล์มสำหรับใช้ทาริมฝีปากช่วยเพิ่มความนุ่มความสดใสให้กับริมฝีปาก

สูตร 1: ขั้นตอนแรกก็เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ให้พร้อมก่อนได้แก่ ขี้ผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว 2 ช้อนโต๊ะ ลาโนลีน 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหย 5 หยด (เลือกกลิ่นที่ชอบ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
ขั้นตอนการลงมือทำ
1. ผสมน้ำมันรำข้าว 2 ช้อนโต๊ะ ลาโนลีน..ช้อนโต๊ะ ในชามแก้วหรือถ้วยตวง
2. ละลายขี้ผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บนหม้อต้มสองชั้น
3. เติมส่วนผสมในข้อ 1 ลงในข้อ 2
4. คนให้เข้ากันยกลงจากเตา เติมน้ำมันหอมระเหย 3 หยด
5. เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
6. คนให้เข้ากัน เทใส่ตลับที่จัดเตรียมไว้
สูตร 2: และอีกสูตรเป็นบาล์มสีใส ให้เตรียมส่วนผสม ได้แก่ ขี้ผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมันรำข้าว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะกลีเซอรีน(ทำให้เนื้อครีมสีใส) 1/2 ช้อนชา และน้ำมันหอมระเหย 10 หยด (เลือกกลิ่นที่ชอบ)
ขั้นตอนลงมือทำ
1. ผสมน้ำมันรำข้าว จมูกข้าว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ในชามแก้วหรือถ้วยตวง
2. ละลายขี้ผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ บนหม้อต้มสองชั้น
3. เติมส่วนผสมในข้อ 1 ลงใน ข้อ 2
4. ยกลงจากเตา เติมน้ำมันหอมระเหย 10 หยด และกลีเซอรีน 1/2 ช้อนชา กวนให้เข้ากัน
5. เทใส่ตลับที่จัดเตรียมไว้
ในที่สุดก็ได้ลิปบาล์มน่าใช้ ที่สำคัญไม่มีสารอันตรายผสม และประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้นุ่มนวลอ่อนเยาว์ ลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดรอยด่างดำฝ้าและกระค่อยๆ จางลง ถ้าอยากเพิ่มสีสันเราก็เลือกสีจากธรรมชาติ เช่น สีแดง/ส้ม จากลูกคำแสด เปลือกประดู่ กลีบกระเจี๊ยบ แดง สีชมพู ได้จากเปลือกต้นนุ่น เปลือกทองกวาว ฝาง ก็เพิ่มความปลอดภัยสูงขึ้น
ริมฝีปากแม้มีพื้นที่เล็กๆ ในร่างกาย แต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน โดยเฉพาะรอยยิ้มพิมพ์ใจและมิตรภาพที่งดงามมักจะเริ่มก่อร่างจากฝีปากเล็กๆ จนก่อเกิดความยิ่งใหญ่อย่าลืมพกพาลิปบาล์มติดกระเป๋าเพิ่มสีสันและความชุ่ม ชื่นสดใสให้ริมฝีปากท้าลมหน้าหนาว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 


Collagen คือ "คอลลาเจน คืออะไร"

Collagen คือ "คอลลาเจน คืออะไร"
 
 
มีหลายคนสงสัยว่า collagen คือ หรือ คอลลาเจน คืออะไร วันนี้ Marie Chantal จะพาคุณๆ มาไขข้อสงสัยเรื่อง collagen คืออะไร กันค่ะ การดูแลตัวเองให้มีผิวพรรณที่ดูดี เปล่งปลั่ง มีผิวหน้าที่ไร้ริ้วรอย ดูอ่อนกว่าวัย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สาวๆ ทั้งหลายให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากร่างกายที่ต้องได้รับอาหารที่มีประโยชน์มาบำรุงแล้ว สำหรับสาวๆ อย่างเราๆ ผิวพรรณก็เป็นอีกหนึ่งความต้องการที่จำเป็นต้องบำรุงและใส่ใจให้ถึงที่สุด แล้ววันนี้ Marie Chantal จะพาสาวๆ มาพบกับตัวช่วยในการบำรุงผิวพรรณที่ดีอีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ collagen (คอลลาเจน) รับรองว่าใครที่รู้จักประโยชน์และสรรพคุณว่า collagen คืออะไร และมีดีขนาดไหน คุณก็สามารถนำเจ้าคอลลาเจนนี้มาใช่บำรุงผิวของคุณได้อย่างดีมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ชัดเจนแน่นอนค่ะ
ผิวหนังเราทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกายต้องสัมผัสกับแดดจ้าฝุ่นควันพิษต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณแห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้ พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อนเวลาและวัยอันควร ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณก็คือ คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่วไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกายโดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75%

คอลลาเจน (collagen) มีสารประกอบที่สำคัญคือ Proteoglycan และ Glyconsaminoglycans ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของผิวเส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน (collagen) ว่า "กาวแห่งชีวิต" เพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกันรวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิวหนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน (collagen) ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน (collagen) กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม

การสูญเสีย คอลลาเจน (collagen)

น่าเสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเราเมื่อมีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจน (collagen) จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปี และเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหรือที่เป็นปัญหาเรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน (collagen) ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึงก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปีผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็นเงาตามตัว
 
ที่มา : http://www.mariechantal.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=76:2013-06-12-03-11-27&catid=34:tip-and-train&Itemid=80
 
 
 
 
 

วิธีเลือกใช้เครื่องสำอางดูแลผิว

วิธีเลือกใช้เครื่องสำอางดูแลผิว
PDFPrintE-mail
 
 
การเลือกใช้เครื่องสำอาง
 
 
 
การเลือกเครื่องสำอางค์ดูแลผิวอย่างถูกวิธี
สุขภาพผิวพรรณของแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกัน การเลือกใช้เครื่องสำอางสำหรับดูแลและบำรุงผิว จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวพรรณของตัวเอง โดยการเลือกเครื่องสำอางค์หรือครีมบำรุงผิว อันดับแรกควรเลือกให้ถูกกับประเภทผิวของตัวเอง ซึ่งได้มีการจัดแบ่งประเภทผิวไว้ 4 ประเภทด้วยกัน

- ผิวแห้ง
- ผิวมัน
- ผิวผสม
- ผิวธรรมดา

สำหรับผู้ที่มีสภาพผิวแห้ง ควรเลือกใช้เครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว เพื่อทำความสะอาดผิวหน้า ครีมควรอ่อนโยนต่อผิว หากไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ได้ยิ่งดี ถ้ามีก็อย่าให้เกิน 20%

หากใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของครีมรองพื้น ก่อนล้างหน้าควรใช้คลีนเซอร์ประเภทครีม หรือเบบี้ออยล์ทำความสะอาดเครื่องสำอางทุกครั้ง

การล้างหน้า ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ใช้ทำความสะอาดใบหน้าที่อ่อนโยน ลดการก่อตัวของแบททีเรีย ไม่มีสารตกค้างบนใบหน้า เช่น สบู่คอลลาเจน โฟมล้างหน้าแบบอ่อน เป็นต้น

เมื่อล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้เซรั่มบำรุงหน้า และครีมบำรุงหน้า ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าอ่อนโยน และไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า
 
 
 

วิธีเก็บรักษาเครื่องสำอาง

วิธีเก็บรักษาเครื่องสำอาง
 
 
PDFPrintE-mail
วิธีเก็บรักษา เครื่องสำอางใครที่เป็นคนชอบแต่งหน้า วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีเก็บรักษาเครื่องสำอางมาฝากกัน...วิธีเก็บเครื่องสำอางให้ใช้ได้ยาวนาน
1. เปิดฝาเครื่องสำอางต่อเมื่อต้องการใช้เท่านั้น
2. เมื่อพบว่าเครื่องสำอางมีรอยแตก ต้องรีบใช้ให้หมด
3. หลังจากเปิดใช้เครื่องสำอางแล้ว ปิดฝาเครื่องสำอางให้สนิททุกครั้ง
4. หากเนื้อเครื่องสำอางเปลี่ยนสีหรือกลิ่นเปลี่ยนไป อย่านำเครื่องสำอางนั้นมาใช้อีก
5. ถ้าเครื่องสำอางชิ้นใด เป็นประเภทที่หมดอายุเร็ว ควรเก็บรักษาเครื่องสำอางนั้นไว้ที่เย็น แห้ง และมืดเท่านั้น
6. อย่านำเครื่องสำอางไปผสมน้ำให้เจือจาง หรือนำเครื่องสำอาง 2 ชนิดมาผสมกัน ยกเว้นเครื่องสำอางบางชนิดผสมได้ เมื่อมีการระบุเอาไว้ในฉลากของเครื่องสำอางชิ้นนั้น ๆ
7. หากใช้เครื่องสำอางหมดแล้ว ต้องการเติมเครื่องสำอางลงในขวดเดิมอีกครั้ง ควรทำความสะอาดบรรจุภัณฑ์และปล่อยให้แห้งเสียก่อนจึงค่อยเติมเครื่องสำอางลงไป
8. อย่าสัมผัสเนื้อครีมหากไม่ได้ล้างมือเด็ดขาด ควรใช้ช้อนเล็ก ๆ ตัก
9. สำหรับมาสคาร่าและอายไลเนอร์ ควรหลีกเลี่ยงการดึงเข้าดึงออก เพราะทำให้อากาศเข้าไปภายใน
10. เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่าง เช่น ฟองน้ำ พู่กัน สิ่งเหล่านี้ต้องสัมผัสกับคอสเมติก ควรรักษาความสะอาดอยู่เสมอ หมั่นทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือแชมพูอ่อนๆ และตากลมให้แห้งก่อนนำมาใช้
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีเครื่องสำอางใช้ไปนาน ๆ ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มา เดลินิวส์

 


การดูแลผิวหลังออกแดด




การดูแลผิวหลังออกแดด



เครื่องสำอางดูแลผิวยามออกแดด

 



หลังจากทำกิจกรรมกลางแจ้ง ผิวต้องโดนแสงแดงซึ่งเราหลีกเลียงไม่ได้ เรามีวิธีการดูแลผิวมาฝาก ซึ่งช่วยให้ผิวกลับมาดูสุขภาพดีเหมือนเดิม
1. หลังจากเล่นน้ำทะเล อาบแดดอ่อน ๆ ให้ดื่มชาเขียว หรือกินไอศกรีมชาเขียว ซึ่งจะมีฤทธิ์ยับยั้ง และป้องกันมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากการ ถูกแดดเผา หรือได้รับแสงอัลตราไวโอเลตมากเกินไป
2. กินผลไม้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวิตามิน A B E C และเบตาแคโรทีน เช่น แตงกวา มะเขือเทศ ว่านหางจระเข้ เป็นต้น โดยควรกินไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของอาหารมื้อนั้นๆ ส่วนโยเกิร์ตก็ช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้าน และถ้ากลับมาหน้าดำเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนหาทางขจัดกระ ฝ้า หน้าแดง หน้าดำ ให้รอสักพักแล้ว เลือกใช้ ส้ม มะนาว มะขามเปียก สับปะรด เพื่อช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
3. การฟื้นฟูสภาพผิวหลังออกแดด ควรทาครีมหรือโลชั่นที่ทำหน้าที่เป็นสารให้ความชุ่มชื้น หรือที่เรียกว่า Moisturizer จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ ผิวที่ขาดความชุ่มชื้น และช่วยเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ๆ
4. รับประทานสารอาหารธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์ผิวจากรังสี UV และยังเกี่ยวข้องกับการต้านการเกิดมะเร็งผิวหนัง อันเนื่องมาจาก DNA ของเซลล์ผิวที่ดูดซับรังสี UV เอาไว้ ซึ่งอาจทำให้เซลล์ผิวเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมจนพัฒนาไปเป็นเซลล์ มะเร็งได้ (สารอาหารดังกล่าวสามารถพบได้ในวิตามิน A, C, E แร่ธาตุสังกะสี และสารสกัด จากธรรมชาติจำพวก Green tea และ Proanthocyanidins จากสารสกัดเมล็ดองุ่น เป็นต้น)


 
 
 

สารพัดสูตรบำรุงผิวจากธรรมชาติ ได้ผล 100%

สารพัดสูตรบำรุงผิวจากธรรมชาติ ได้ผล 100%

เครื่องสำอางกับธรรมชาติสารพัดสูตรบำรุงผิวหน้าสวยด้วยธรรมชาติ 18 สูตร
สูตรขัดหน้านุ่มเนียน
ให้คุณตักโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาสัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ลงในชาม ใส่น้ำตาลทรายชนิดหยาบลงไป 1 ช้อนชา คนส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากันแล้วจึงนำมาขัดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าเพื่อเป็นการขจัดเซลล์เก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป เว้นรอบดวงตาและรอบปากเอาไว้ เพราะทั้งสองส่วนนี้ถือเป็นส่วนที่บอบบาง เมื่อขัดสักครู่จนทั่วแล้วก็ให้ทิ้งเอาไว้สัก 5 นาทีก่อนที่จะล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรหน้าสวยใส
นำหัวไชเท้ามาล้างให้สะอาดและปอกเปลือกออก สไลด์บางๆ เป็นแว่นๆ แช่เย็นไว้สักครู่จึงนำมาแปะที่ใบหน้าเหมือนการแปะแตงกวา หัวไชเท้าเย็นๆ จะทำให้ใบหน้าสดชื่นเย็นสบาย จะรู้ว่าผิวกระจ่างใสขึ้นเพราะในหัวไชเท้ามีกรดอ่อนๆ ที่ทำให้ผิวดูดีขึ้นได้ ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สูตรลับลดความมัน

ผู้ที่มีผิวหน้ามันสามารถมีผิวหน้าที่นุ่มชุ่มชื้นและไม่มันได้โดยการใช้ สับปะรดประมาณ 1 ถ้วย คั้นน้ำและแยกกากออก ใช้สำลีก้อนชุบน้ำสับปะรดมาทาที่ใบหน้าโดยให้เว้นที่บริเวณรอบดวงตาและรอบ ปาก ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น คุณจะรู้สึกเลยว่าหน้าไม่มันแต่กลับนุ่มชุ่มชื้น ควรใช้สับปะรดที่มีความเปรี้ยวจะดีกว่าที่มีความหวาน เพราะจะมีประสิทธิภาพในการลดความมันได้มากกว่า
สูตรแก้ไขหน้าแห้งกร้าน
สูตรนี้จะช่วยทำให้หน้าที่แห้งกร้านกลับนุ่มชุ่มชื้นและยังช่วยลดความมัน อีกด้วย โดยนำน้ำอุ่นประมาณ 1 ถ้วยมาผสมให้เข้ากันดีกับเกลือป่น 2 ช้อนชาจากนั้นนำมาใส่ในขวดสเปรย์แล้วฉีดพรมที่ใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด
สูตรหน้าสะอาดหมดจด
สูตรนี้จะเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวของคุณออกไปอย่างหมดจด นอกจากผิวจะสะอาดแล้วยังนุ่มนวลและชุ่มชื้นอีกด้วย โดยใช้นมสดสัก 3 ช้อนโต๊ะผสมกับผงชาเขียวป่นที่หาซื้อได้ตามร้านทำขนมมอบทั้งหลาย ผงชาเขียวนี้ใช้เพียงแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อผสมกันดีแล้วก็ให้ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมทั้งสองนี้แล้วนำมาถูให้ทั่วใบ หน้าเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรหน้าใสไร้ฝ้า
สูตรนี้นอกจากจะสามารถลอกฝ้าได้แล้วังมีผลในการช่วยบรรเทาสิวอักเสบและลบ เลือนจุดด่างดำบนใบหน้าได้ด้วย วิธีการก็ง่ายๆ คือตัดว่านหางจระเข้มาสัก 1 กาบไม่ต้องใหญ่มาก ปอกเปลือกออกให้หมดเอาแต่ส่วนของเนื้อใสมาใช้ นำเนื้อใสหรือวุ้นที่ได้มาปั่นเนียนละเอียดแล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น มีข้อควรระวังคือหากเป้นผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้เพราะ อาจเกิดการระคายเคืองได้
สูตรลบเลือนจุดด่างดำ
สูตรนี้จะทำให้ใบหน้าสวยใสขึ้นเพราะจุดด่างดำจะลบเลือนลงและยังช่วยให้ หน้านุ่มชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านอีกด้วย โดยนำส้มมาคั้นให้ได้น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะจากนั้นใส่นมสดผสมลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้วจึงนำสำลีก้อนมาชุบและถูให้ถั่วไปหน้าเบาๆ เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากเหมือนเดิมทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรผลัดผิวกระจ่างใส
สูตรนี้ทำได้ง่ายอีกเช่นกัน โดยการใช้เพียงมะละกอสุกอย่างเดียว ให้นำมะละกอสุกประมาณ 1/4 ถ้วยมาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณจะรู้สึกเลยว่าผิวหน้าใสและนุ่มนวลขึ้น
สูตรแก้ไขผิวที่ถูกแดดและลมเป็นเวลานานๆ
บางทีเราก็หลีกเลี่ยงแดดและลมที่ทำให้ผิวเกิดปัญหาความหยาบกร้านและ เหี่ยวย่นไม่ได้ เมื่อเป็นแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะมีวิธีง่ายๆ และดีที่สามารถแก้ปัญหาอย่างได้ผลมาฝาก ให้นำสตรอเบอร์รี่ 2 ผลและแอปเปิล ¼ ผลมาปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน แอปเปิล นั้นควรปอกเปลือกออกก่อนเพื่อจะได้มีความนุ่มนวลเวลาที่ใช้ จากนั้นนำส่วนผสมที่ปั่นกันจนละเอียดแล้วมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
สูตรมากส์หน้าเพื่อความชุ่มชื้น
สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและผู้ที่ไม่มีปัญหาอย่างคนผิว ธรรมดาก็สามารถใช้ได้เช่นกัน นำงา 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และกล้วยหอมผลขนาดกลางสัก 1 ผลมาผสมและปั่นรวมกันให้เป็นเนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้าและทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากเอาไว้ เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรมากส์หน้าแก้ไขปัญหาหน้ากร้านแดด
หน้ากร้านแดดที่ว่านี้ก็คือหน้าที่มีอาการแดงแสบและหยาบกร้าน นอกจากนี้ผิวหน้ายังไม่นุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย วิธีการแก้ไขก็คือให้นำอะโวคาโดมาสักประมาณ ¼ ถ้วยผสมรวมกันกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชาและน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ใส่ลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าโดยเว้นรอบปากและดวงตาเอาไว้ ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรสวยหน้าตึงกระชับ
นอกจากหน้าจะตึงกระชับแล้วยังทำให้สิวที่เป็นปัญหาทุเลาลงได้ด้วย ให้คุณใช้ไข่ขาว 1 ฟอง ผสมกับกำมะถัน 1 ช้อนชา และถั่วเขียวต้มบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วจึงนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีโดยไม่ลืมที่จะเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก เมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรสวยของคนผิวแพ้ง่าย
สูตรนี้ถือเป็นสูตรที่มีความอ่อนโยนสูงจึงดีต่อผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ให้คุณนำน้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะและหัวไช้เท้า ½ ถ้วยตวงมาใส่เครื่องปั่นแล้วปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นจึงนำไปพอกบริเวณใบหน้าสักประมาณ 20 นาที คุณอาจจะรู้สึกตึงๆ และคันยิบๆ เล็กน้อยเนื่องจากกรดในน้ำมะนาวและสารเคมีในหัวไช้เท้ากำลังทำงานอยู่ซึ่ง ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด เมื่อครบกำหนดตามเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ผิวคุณก็จะสดใสเปร่งปลั่งขึ้นมาทันที
สูตรขัดหน้าสะอาดเอี่ยมอ่อง
เป็นอีกสูตรที่สามารถใช้ขัดหน้าได้ ทั้งสะอาดหมดจดและยังมอบความเนียนนุ่มให้แก่ผิวของคุณในครั้งแรกที่ได้ใช้ อีกด้วย โดยให้คุณนำข้าวโอ๊ดอบแห้ง 1 ช้อนชากับถั่วเขียวเมล็ดแห้ง ½ ช้อนชาผสมกันลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้ละเอียดที่สุดจากนั้นจึงนำมาผสมน้ำ เล็กน้อยแล้วขัดเบาๆ ให้ทั่วผิวหน้า ควรเน้นการขัดบริเวณข้างจมูกซึ่งมัก เป็นส่วนที่เกิดสิวเสี้ยนหรือความสกปรกได้ง่ายกว่าส่วนอื่น เมื่อขัดจนทั่วทุกพื้นที่บริเวณใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้หมดจดอย่า ให้หลงเหลือ เพราะสูตรนี้หากล้างออกไม่หมดอาจทำให้เกิดสิวอุดตันบนใบหน้าได้
สูตรหน้าใสไร้ความหมองคล้ำ
ผู้ที่มีปัญหาหน้าหมองมองแล้วไม่สดใสควรใช้สูตรสวยสูตรนี้จะดีขึ้นเป็น อย่างยิ่ง โดยนำน้ำมะนาว นมผงของเด็ก และน้ำสะอาดอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมรวมกันให้ดี จากนั้นนำมาพอกที่ใบหน้าประมาณ 20 นาที พยายามอย่าขยับเขยื้อนใบหน้าในช่วงนี้นักเพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย เมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วซับหน้าเบาๆ จะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใสขึ้นเนื่องจากการทำงานของกรดใน มะนาวและมีความนุ่มชุ่มชื้นจากนมผงอยู่ด้วย
สูตรสวยหน้าเต่งตึง
สูตรนี้เป็นสูตรที่ใช้อย่างได้ผลกับผู้ที่มีวัยเข้าเลข 3 และมีปัญหาผิวหน้าหย่อนยาน ถือว่าเป็นสูตรที่ทำง่ายไม่ยุ่งยากอะไรเพราะใช้น้ำแข็งเพียงอย่างเดียว อันดับแรกให้คุณทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดเสียก่อนแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่ๆ จากนั้นนำน้ำแข็งยูนิต 1 ก้อนมาลูบไล้บริเวณใบหน้าให้ทั่วจนน้ำแข็งละลายหมดก้อนคุณจึงค่อยล้างหน้า ให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัดๆ อีกทีหนึ่ง เมื่อจับผิวหน้าดูแล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าผิวตึงกระชับขึ้นทันที สูตรนี้หากคุณมีความสะดวกก็สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียงหรือ อันตรายใดๆ แก่ผิวหน้า
สูตรกระชับรูขุมขน
สูตรนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างที่เกิดจากกรรมพันธุ์หรือรอย แผลเป้นจากการแกะสิวทั้งหลาย สูตรนี้จะช่วยสมานผิวและรูขุมขนให้ตึงกระชับขึ้นจนผิวของคุณเนียนนุ่มและดู สวยขึ้นได้ในเวลาไม่ช้าไม่นาน ให้คุณใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชาผสมกับแตงกวา 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงนำมาพอกให้ทั่วใบ หน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัดๆ หรือน้ำแช่น้ำแข็ง เพียงเท่านี้หน้าของคุณก็จะเรียบเนียนขึ้นได้
สูตรแก้ปัญหาสิว
สูตรนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวประเภทหัวสิวเม็ดใหญ่ๆ ซึ่งเมื่อใช้สูตรนี้แล้วสิวที่คุณเป็นจะค่อยๆ ยุบลงได้เองโดยให้คุณใช้ดินสอพองสัก 1 เม็ดใหญ่ผสมกับน้ำมะนาวสัก 1 ช้อนชาแล้วนำมาแต้มบริเวณสิวที่เป็นอยู่ก่อนเข้านอนแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ในตอนเช้าให้หมดจด จะสังเกตได้ว่าหัวสิวยุบลงมากและผิวกระจ่างใสขึ้น
รูปและเรื่อง โดย นายสปา จากเว็บไซต์ www.handbtoday.com

 
 
 
 

รับมืออาการแพ้ของผิว

 
 
รับมืออาการแพ้ของผิว
 
อาการแพ้ของผิว



ปัญหาผิวแห้งมีต้นเหตุจากปัจจัยมากมายหลายประการ เป็นต้นว่า จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ส่วนผสมของสารในเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ยาสีฟัน จนถึงสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน ฯลฯ

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ทำไมปฏิกิริยาตอบสนองในรูปของภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งกลับไม่เกิดกับคนอื่น แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดจะมีแนวโน้มว่าเกิดจากพันธุกรรม ดังนั้นถ้าพบว่าตัวคุณเกิดอาการคันยิบๆ ซึ่งน่าจะมาจากแพ้ผงซักฟอกที่ใช้อยู่ พอจะสรุปได้ว่าหนึ่งในบรรพบุรุษของคุณก็น่าจะแพ้ผงซักฟอกเหมือนกัน         

     ลักษณะของผิวแพ้ง่าย

อาการของผิวที่แพ้แสดงออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของการแพ้ แต่ปัจจัยที่พบเห็นเด่นชัดและบ่อยที่สุดคือ ผื่นแดง ตุ่มพองตกสะเก็ด แสบ คัน และผิวหนังอักเสบ วิธีง่ายๆ ที่จะสังเกตว่าผิวมีอาการแพ้หรือไม่ ดูได้จากผื่นแดง ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏบนผิว ซึ่งบางครั้งจะรวมอาการคันและอักเสบไว้ด้วยกัน ผิวอักเสบจะมีลักษณะเห่อเป็นปื้นหนา แดง แตก และบางครั้งอาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลซึมออกมา ส่วนอาการคันจะแสดงออกมาใกล้เคียงกันในรูปของผื่นแดง แต่จะขึ้นเป็นปื้นบางๆ         

     สิ่งกระตุ้นทำให้ผิวเกิดอาการแพ้

ขึ้นอยู่กับประเภทอาการแพ้ของผิวที่คุณเป็นอยู่ ผิวอักเสบ มีสาเหตุหลักจากการขาดความชุ่มชื่นภายในชั้นเนื้อเยื่อผิว และจะแสดงให้เห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูหนาว ส่วนอาการคันมากคันน้อยที่ผิวนั้น อาจเกิดจากสิ่งเร้าภายนอกหลายชนิด เป็นต้นว่า เครื่องประดับ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ สารแขวนลอยในอากาศ บางคนอาจมีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างเช่น แพ้ยาย้อมผม แป้งฝุ่นทาตัว น้ำหอม ยาง โลหะ หรือสารกันบูดที่ผสมอยู่ในของกินของใช้ต่างๆ         

      การเยียวยารักษา

เมื่อเรารู้วิธีรับมือกับผื่นแดงที่ขึ้นบนผิว แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้สามัญสำนึกที่ยอดเยี่ยมของคุณพิจารณาประเภทจากชนิดของผื่น ถ้าผื่นแดงมีลักษณะแห้ง ให้รีบทามอยเจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื่น แต่ถ้าผื่นมีลักษณะเปียกชื้น พยายามดูแลให้แห้ง สิ่งสำคัญหนึ่งที่ไม่ควรทำเวลาผื่นขึ้นก็คือ ห้ามเกา ยิ่งเราเกามากเท่าไหร่ก็จะทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกอักเสบระคายเคืองมากขึ้นเท่านั้น การเกาจะยิ่งทำให้ผื่นขยายตัวมากขึ้น โดยปกติผื่นแดงอาจยุบโดยปราศจากการเยียวยาใดๆ เพียงแค่หลีกเลี่ยงที่จะสัมผัส แพทย์ยังลงความเห็นว่าผู้ที่มีอาการแพ้และคันบ่อยๆ ควรรักษาความสะอาดของเล็บมือ ตัดให้สั้นและห้ามใจไม่ให้เกา นอกจากนี้ยังไม่ควรให้ผื่นที่ขึ้นสัมผัสน้ำหอม ยาย้อมผม สเปรย์หอม ความร้อนหรือเย็นมากๆ สบู่ทั่วไป รวมถึงการสัมผัสน้ำนานๆ

นอกจากนั้นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากแร่ธาตุ และลาโนลินแล้วยังควรใช้สบู่และครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมในการปลอบประโลมผิว เช่น โอ๊ตมีล ทาครีมผสมไฮโดรคอร์ดีโซน บริเวณที่ผื่นขึ้นวันละสองครั้ง และหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าภายนอกต่างๆ ที่จะมาสัมผัสผิว ซึ่งอาจไปกระตุ้นให้อาการแพ้กำเริบหนักขึ้น แต่ถ้าหากลองปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล และอาการหนักกว่าเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูอาการและทำการรักษาทันที         

      เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวเกิดอาการแพ้

จากการยืนยันของสถาบันโรคผิวหนังอเมริกันพบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมการใช้เครื่องสำอางวันละไม่ต่ำกว่าเจ็ดชนิด ทั้งนี้เพื่อประทินผิว หรือเติมแต่งสีสันให้ดูสวยงาม ส่วนผสมของเครื่องสำอางเหล่านี้แหละที่ทำให้หลายต่อหลายคนเกิดอาการแพ้ ผิวของคนเราจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อเครื่องสำอาง สามารถแบ่งเป็นสองกลุ่มลักษณะหลักๆ คือ ระคายเคืองและอาการแพ้ ผิวระคายเคืองจะพบได้มากกว่าอาการแพ้ และมักจะพัฒนาจากอาการแสบคันตามบริเวณต่างๆ หรือ เซลล์ผิวหนังถูกทำลายที่รุนแรงมากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนำไปสู่การระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง จะปรากฏในรูปกลุ่มอาการต่างๆ บนผิวหนัง เช่น ตุ่มคัน ตกสะเก็ด หรือผื่นแดง ในบางกรณีอาการระคายเคืองธรรมดาๆ อาจพัฒนาไปสู่กลุ่มอาการแพ้รุ่นแรงเจ็ดประเภท โดยเฉพาะผิวหนังที่กระทบกระเทือนจากการเกามาแล้วก่อนหน้า บริเวณที่ผิวบอบบางและไร้ต่อสิ่งเร้า เช่น ผิวรอบดวงตา

ส่วนอาการแพ้จะเกิดขึ้นเมื่อเราสัมผัสกับส่วนผสมเฉพาะของผลิตภัณฑ์ที่ผิวจะตอบสนองทันที หากแต่ไม่ใช่ในรูปผิวหนังถูกทำลาย กลุ่มอาการแพ้ประกอบด้วยผื่นแดงและคัน จนถึงลมพิษเห่อขึ้นตามร่างกาย ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้จะปรากฏได้ทุกที่ตามร่างกาย แม้ว่าบริเวณนั้นๆ จะไม่เคยสัมผัสครีมดังกล่าวมาก่อนเลยก็ตาม         

      ทำอย่างไรเพื่อป้องกันอาการแพ้เครื่องสำอาง
โชคไม่ดีที่มีทางเดียวที่คุณจะสามารถรู้ได้ว่าแพ้สารตัวใดในเครื่องสำอาง นั่นคือการลองใช้กับร่างกายหากแต่เป็นการลองทาในบริเวณเล็กๆ ที่ข้อมือหรือข้อศอกแล้วทิ้งไว้ ๒๔ ชั่วโมง เพื่อสังเกตอาการตอบสนองของผิวหนัง

วิธีการอื่นเพื่อป้องกันโอการเสี่ยงที่จะแพ้คือ อ่านฉลากส่วนผสมทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่องสำอางชนิดนั้น ถ้ามีส่วนผสมมากชนิด โอการเสี่ยงที่จะแพ้ต่อสารตัวใดตัวหนึ่งก็ย่อมีมาก ถ้าคุณทราบว่ามีสารตัวที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้แล้วก็จะได้หลีกเลี่ยงไม่ใช้เครื่องสำอางชนิดนั้น

แต่ก็เป็นไปได้ว่าฉลากของเครื่องสำอางบางครั้งไม่ได้บอกรายละเอียดของส่วนผสมทั้งหมด เนื่องจากผู้ผลิตบางบริษัทไม่ต้องการเผยแพร่สูตรลับของตนเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการตลาด และทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ (FDA) ก็ไม่ได้ระบุเป็นกฏไว้ตายตัว ทำให้ผู้ผลิตสามารถกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตนไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ที่ข้างกล่องได้โดยไม่ผิดกฏหมาย

ในกรณีของการระบุว่า "ปราศจากกลิ่นหอม" หรือ "ไร้กลิ่น" ได้รับการยอมรับในลักษณะที่ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ และน้ำหอมก็ยังถูกใช้เพื่อกลบกลื่นของสารเคมีอยู่ดี ดังนั้น จึงควรตรวจสอบที่ฉลาก ส่วนผสมต่างๆ จะไล่เรียงตามลำดับความสำคัญ แน่นอนว่าส่วนผสมบรรทัดล่างๆที่มีอยู่น้อยนิดนั่นแหละคือ น้ำหอม ส่วนส่วนผสมที่เป็นจุดขายนั้นจะอยู่บนสุด         

     รู้จักสารที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง

จากข้อมูลการวิจัยของสมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกาเหนือ สรุปได้ว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวเกิดอาการแพ้และระคายเคืองมาจากน้ำหอมและสารกันบูที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง ถ้าคุณมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเครื่องสำอาง ก็ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันเสียอย่าง Methyplaraben, Propylparaben และ Buttlyparaben และสำหรับลาโนลินซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เกือบทุกชนิดก็อาจเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในผู้ใช้บางรายได้เหมือนกัน

ปัจจุบันผู้หญิงเราเสี่ยงกับการแพ้เครื่องสำอางที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะ จึงควรสังเกตและอ่านฉลากข้างกล่องอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้  
 

ที่มา: http://hilight.kapook.com/view/29863


 


 
 
 

 
พิษภัยจากเครื่องสำอางค์ รักสวย รักงาม ระวังหน้าพัง    
 
 

 

ปัจจุบันคนเราแทบจะหลีกเลี่ยงจากการใช้เครื่องสำอางค์ ไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่นิยมใช้เครื่องสำอางค์กันมากที่สุด ซึ่งเครื่องสำอางค์ที่ใช้มีทั้งชนิดที่ใช้ทำความสะอาด ชนิดเสริมแต่งความงามและชนิดที่มียาผสม เครื่องสำอางค์ที่ใช้กันทั่ว ๆ ไปได้แก่ แป้งผัดหน้า ลิปสติก ครีมทาหน้า- ทาตัว โลชันต่างๆ ฯลฯ โดยส่วนใหญ่จะนึกถึงเฉพาะเรื่องความสวยความงาม แต่กลับมองข้ามอันตรายที่จะได้รับเนื่องจากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย โดยเฉพาะเครื่องสำอางค์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ราคาถูก และมีสารต้องห้ามเป็นส่วนผสม
     ข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชนครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับการฟ้องร้องหรือการได้รับ ผลกระทบจากการใช้เครื่องสำอางที่มีสารอันตรายตามที่กฎหมายกำหนดเป็นส่วน ประกอบ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องสำอางราคาถูก เครื่องสำอางปลอม ลักลอบนำเข้า แล้วถูกนำไปวางขายควบคู่กับเครื่องสำอางทั่วไปจนผู้ซื้อไม่อาจแยกแยะได้ว่า สินค้าชนิดไหนเป็นของจริงหรือของปลอม เมื่อนำไปใช้งานจึงเกิดผลกระทบไม่ว่าจะเป็นการแพ้ เป็นผื่นคันหรือเป็นฝ้าถาวรบนใบหน้า
     เภสัชกรวัฒนา อัครเอกฒาลิน ผู้อำนวยการสำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อันตรายที่เกิดขึ้นได้นั้นความจริงแล้วไม่ได้เกิดกับเครื่องสำอางทุกชนิด มีบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดและยังขึ้นอยู่กับภูมิแพ้ของแต่ละบุคคลอีก ด้วย ส่วนการป้องกันและปราบปรามของภาครัฐนั้น อย.จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด แต่ก็ยังพบว่ามีการฝ่าฝืนอยู่เสมอ โดยข้อมูลเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 สามารถประกาศเพิ่มอีก 3 ยี่ห้อจากที่มีอยู่เดิม 87 ยี่ห้อสำหรับการตรวจพบเครื่องสำอางที่มีสารห้ามใช้
     แม้จะร่วมมือกับสมาคม/ชมรมต่าง ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางจัดเจ้าหน้าที่ร่วมเป็นหูเป็นตาสอดส่องก็ ยังพบว่ามีการค้าขายสินค้าเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่จะพบทั้งพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นจากร้านค้า ทั่วไป การบอกต่อ ขายตรง จึงมีข่าวการจับกุมอยู่บ่อยครั้ง มีทั้งรายเล็กและรายใหญ่ บางครั้งจับกุมได้เป็นคันรถ 10 ล้อ
     เหตุที่มีผู้กล้าฝ่าฝืนกฎหมายก็เพราะบทลงโทษยังเบา กล่าวคือปัญหาเครื่องสำอางจะขึ้นอยู่กับพระราชบัญญัติเครื่องสำอางปี 2535 และในส่วนโฆษณาจะใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ที่ใช้มานาน อีกทั้งกฎหมายเครื่องสำอางนั้นจะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก แต่เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่ใช้กับผิวกายภายนอก เพื่อความสะอาดและความสวยงาม ดังนั้นกฎหมายจึงไม่เข้มงวดเท่ายา อาหาร หรือเครื่องมือแพทย์ แต่ปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพิ่มโทษให้หนักขึ้นแล้วจากเดิม จำคุกไม่เกิน 1 ปีเป็นจำคุกไม่เกิน 5 ปี จากปรับไม่เกิน 100,000 บาท เป็นปรับไม่เกิน 500,000 บาท อีกทั้งผู้พบเบาะแสยังจะได้รับสินบนนำจับอีกด้วย
     นางสุวรรณา จารุนุช ผู้อำนวยการกองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงนโยบายดำเนินการตรวจสารต้องห้ามในเครื่องสำอางตามตลาดทั่วไปว่า ปัจจุบันกรมได้จัดทำโครงการร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาค 14 แห่งเพื่อสำรวจสีห้ามใส่ในลิปสติกและเครื่องสำอางทาเปลือกตาที่มีจำหน่ายใน ตลาดนัด ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่ามีการใช้เครื่องสำอางที่มีสารอันตรายเป็นส่วนผสมจำนวนมากโดยเฉพาะการ ตรวจสอบพบสารก่อมะเร็งตามที่ได้นำไปทดสอบกับสัตว์ทดลองต่าง ๆ ดังนั้นประชาชนจึงควรมีความรู้ในการเลือกซื้อ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะได้รับจากการ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ
     สำหรับอันตรายเนื่องจากในเครื่องสำอางมีสารเคมีที่เป็นสารต้องห้ามเป็นส่วน ผสม ซึ่งอันตรายที่ได้รับส่วนใหญ่จะเกิดกับผิวหนังมากกว่าระบบอื่น เช่นเครื่องสำอางประเภทน้ำยาสเปรย์ผมที่มีส่วนผสมของสาร ทีวีพี ครีมกันแดด แก้ฝ้า อาจทำให้ผิวหนังแพ้ หรืออักเสบที่บริเวณใบหน้า หน้าผาก ใบหู คอ และยังทำให้ผมแข็งกรอบ น้ำยาสเปรย์บางอย่างมีส่วนผสมของเชลแล็กที่ละลายด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งผู้ผลิตบางรายใช้
     เมทิลแอลกอฮอล์ละลาย เนื่องจากราคาถูก สารนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว ถ้าได้รับสารนี้เป็นประจำยังจะก่อให้เกิดนัยน์ตาฝ้ามัว อักเสบขั้นรุนแรงจนตาอาจบอดได้
     ปัจจุบันเครื่องสำอางแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามระดับความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคดังนี้คือ 1) เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ เช่น น้ำยาดัดผม ครีมย้อมผม ครีมขจัดขน ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 2) เครื่องสำอางควบคุม เช่น ครีมผสมสารป้องกันแสงแดด แชมพูขจัดรังแค ผ้าอนามัย ผ้าเย็นหรือกระดาษเย็น แป้งฝุ่นโรยตัว และแป้งน้ำ 3) เครื่องสำอางทั่วไป เช่น สบู่ก้อน ครีมอาบน้ำ โฟมล้างหน้า ยาสีฟันสมุนไพร(ไม่ผสมฟลูออไรด์) ลิปสติก สีทาเล็บ แป้งทาหน้า ซึ่งเครื่องสำอางประเภทแรกจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลเข้มงวด โดยต้องมาขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อยก่อนผลิตหรือนำเข้า ส่วนประเภทที่ 2 นั้นมีความเสี่ยงปานกลางจึงควบคุมไม่เข้มงวด แต่ต้องมาจดแจ้งให้เรียบร้อยก่อนผลิตและนำเข้าเช่นกัน และประเภทที่ 3 กำกับดูแลไม่เข้มงวดเช่นกัน แต่ไม่ต้องมาแจ้งต่อสำนักงานก่อนผลิต เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายให้ถูกต้อง เช่น ไม่มีส่วนผสมของสารต้องห้าม ใช้สีตามที่กฎหมายกำหนด จัดทำฉลากภาษาไทยให้ครบถ้วน  
(แหล่งที่มา : http://www.thannews.th.com/detialnews.php?id=W0122651&issue=2265 )

 
 
 
 

เครื่องสำอางชิ้นใด ควรทิ้งเมื่อไหร่?

 

เครื่องสำอางชิ้นใด ควรทิ้งเมื่อไหร่?


เครื่องสำอางที่ควรทิ้ง

สาวๆรู้ดีกันอยู่แล้วว่า ไม่ควรใช้เครื่องสำอางหมดอายุ แต่เครื่องสำอางชิ้นใด หมดอายุเมื่อไหร่ มาดูกันดีกว่า

เวลาเห็นเครื่องสำอางแพ็กเกจสวยหรูหรือเป็นรุ่นใหม่พึ่งออกมา สาวๆที่ชอบแต่งหน้ามักอดใจไม่ได้ ต้องซื้อเก็บไว้ทั้งๆ ที่เครื่องสำอางของเก่ายังไม่หมด ทำให้มีเครื่องสำอางที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้เต็มไปหมด พอนานๆไปจะใช้ ก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่แน่ใจว่าหมดอายุแล้วหรือยัง ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า เครื่องสำอางชิ้นไหนควรทิ้งเมื่อไหร่ เพราะเครื่องสำอางที่หมดอายุมักเป็นสาเหตุของปัญหาผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น สิว ฝ้า กระ หรือผื่นแพ้ต่างๆได้

กลุ่มของเหลว อย่างเบสและฟาวเดชั่นรองพื้น เครื่องสำอางประเภทนี้มีอายุประมาณ 1 ปี หลังเปิดใช้ แต่ถ้าเป็นแบบผสมน้ำมันอาจได้ถึง 1 ปีครึ่ง วิธียืดอายุโดยเก็บไว้ในตู้เย็น ปิดฝาให้สนิท เวลาใช้อย่าสัมผัสโดยตรงแต่ควรใช้แปรงหรือฟองน้ำ ถ้ามีกลิ่นเหม็นหืนหรือเนื้อครีมเปลี่ยนสีต้องทิ้งทันที

กลุ่มลิควิดอายไลเนอร์และมาสคาร่า อายุเพียง 3-6 เดือนหลังเปิดใช้ เพราะเครื่องสำอางประเภทนี้ต้องใช้ด้ามแปรงที่สัมผัสขนตา ซึ่งมักเป็นบริเวณสะสมของแบคทีเรีย วิธียืดอายุโดยเวลาใช้ไม่ควรปั้มมาสคาร่าบ่อยๆ เพราะจะทำให้อากาศเข้า ควรใช้วิธีขยับแปรงเบาๆ 1 ที แทน

ที่มา : http://www.mariechantal.co.th/index.php?option=com_content&view=category&layout=blog&id=34&Itemid=56&limitstart=8